ในปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งานในหน่วยงานประเภทต่างๆ
มากมาย ซึ่งมีผลทำให้การทำงานในองค์กรหรือหน่วยงาน
สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบ
และสามารถพัฒนาการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในองค์กร
หรือหน่วยงานก็เริ่มมีการพัฒนาขึ้นแทนที่จะใช้ในลักษณะหนึ่งเครื่องต่อหนึ่งคน
ก็ให้มีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ มาเชื่อมต่อกัน
เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เป้าหมายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
-
มีการใช้ทรัพยากรทางฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ร่วมกัน
เนื่องจากอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์แต่ละชนิดราคาค่อนข้างสูง
เพื่อให้ใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงมีการนำเอาอุปกรณ์เหล่านั้นมาใช้ร่วมกันเป็นส่วนกลาง เช่น
เครื่องพิมพ์,พลอตเตอร์,ฮาร์ดดิสก์ และโปรแกรมต่าง ๆ
เป็นต้น
-
สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
สำหรับทุกคนที่อยู่ในระบบเครือข่าย
โดยไม่ต้องสนใจว่าข้อมูลเหล่านี้จะเก็บอยู่ที่ใด เช่น
ผู้ใช้คนหนึ่งอาจจะอยู่ห่างจากสถานที่ที่เก็บข้อมูลถึง 1000
กิโลเมตร
แต่เขาก็สามารถใช้ข้อมูลนี้ได้เหมือนกับข้อมูลเก็บอยู่ที่เดียวกับที่ๆ
เขาทำงานอยู่
และยังสามารถกำหนดระดับการใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนได้
ซึ่งจะเป็นการรักษาความปลอดภัยสำหรับข้อมูลซึ่งอาจเป็นความลับ
-
การติดต่อระหว่างผู้ใช้แต่ละคนมีความสะดวกสบายขึ้น
หากผู้ใช้อยู่ห่างกันมาก การติดต่ออาจไม่สะดวก
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีบทบาทในการเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างผู้ใช้แต่ละคน
ซึ่งอาจจะเป็นการติดต่อในลักษณะที่ผู้ใช้ที่ต้องติดต่อด้วยไม่อยู่
ก็อาจฝากข้อความเอาไว้ในระบบ
เมื่อผู้ใช้คนนั้นเข้ามาใช้ระบบก็จะมีการแจ้ง
ข่าวสารนั้นทันที
การแบ่งประเภทเครือข่ายคอมพิวเตอร์
สามารถแบ่งได้ตามลักษณะต่างๆ ดังนี้คือ
|
ตามขนาด: แบ่งเป็น Workgroup , LAN , MAN
และ WAN
|
|
ลักษณะการทำงาน: แบ่งเป็น peer-to-peer
และ client-server
|
|
ตามรูปแบบ: แบ่งเป็น Bus ,Ring และ Star
|
|
ตาม bandwidth: แบ่งเป็น baseband และ
broadband หรือว่าเป็น megabits และ gigabits
|
|
ตามสถาปัตยกรรม: แบ่งเป็น Ethernet หรือ
Token-Ring
|
ในปัจจุบันเรานิยมจัดประเภทของเครือข่ายตามขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ระบบเครือข่ายนั้นครอบคลุมอยู่
ได้แก่
-
ระบบเครือข่ายระยะใกล้ (LAN : Local
Area Network)
เป็นเครือข่ายซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดเชื่อมโยงกันอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ
กัน เช่น อยู่ภายในแผนกเดียวกัน อยู่ภายในสำนักงาน
หรืออยู่ภายในตึกเดียวกัน
-
ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN
: Wide Area Network) เป็นเครือข่ายที่ประกอบด้วยเครือข่าย
LAN ตั้งแต่ 2 วงขึ้นไปเชื่อมต่อกันในระยะทางที่ไกลมาก
เช่น ระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศ
-
ระบบ
เครือข่ายบริเวณเมืองใหญ่ (MAN : Metropolitan Area
Network)
เป็นระบบที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจตั้งอยู่ห่างไกลกันในช่วง
5 ถึง 50 กิโลเมตร
ผู้ใช้ระบบเครือข่ายแบบนี้มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จำเป็นจะต้องติดต่อ
สื่อสารข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ด้วยความเร็วสูงมาก
โดยที่การสื่อสารนั้นจำกัดอยู่ภายในบริเวณเมือง
สื่อที่ใช้ในการส่งข้อมูล
ในระบบเครือข่ายจะต้องมีสื่อที่ใช้ในการเชื่อมต่อสถานีงานต่างๆ
ในเครือข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อส่งข้อมูล
ซึ่งสื่อเหล่านี้จะมีหลายแบบให้เลือกใช้
โดยแต่ละแบบเองก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันออกไปตามแต่ว่าจะพิจารณาโดยยึดราคา
หรือศักยภาพเป็นเกณฑ์
สื่อที่ใช้ในการส่งข้อมูล (Transmission
media) แบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
-
ประเภทมีสาย ได้แก่
สายคู่ไขว้ (Wire pair หรือ Twisied pair หรือสายโทรศัพท์),
สายโคแอกเชียล (Coaxial Cables), เส้นใยแก้วนำแสง
หรือไฟเบอร์ออฟติกส์ (Fiber optics)
-
ประเภทไม่มีสาย
ได้แก่ ไมโครเวฟ (Microwave) และดาวเทียม (Satellite
Tranmission)
-
ระบบอื่น ๆ ได้แก่ ระบบวิทยุ (Radio
Transmission), ระบบอินฟาเรด (Infrared Transmission) และ
ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Transmission)
ประเภทมีสาย
1.
สายคู่ตีเกลียว
(Twisted-Pair Cable) เป็นสายที่มีราคาถูกที่สุด
ประกอบด้วยสายทองแดงที่มีฉนวนหุ้ม 2 เส้น
นำมาพันกันเป็นเกลียว จะใช้กันแพร่หลายในระบบโทรศัพท์
ความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps ส่งได้ในระยะทาง 1 mile
สายคู่ตีเกลียวสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
1.1 สายคู่ตีเกลียวแบบไม่มีชิลด์
(Unshielded Twisted-Pair : UTP)
เป็นสายเคเบิลที่ถูกรบกวนจากภายนอกได้ง่าย
แต่ก็มีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงและราคาไม่แพง
|
รูปที่ 1
สายคู่ตีเกลียวแบบไม่มีชิลด์
|
1.2 สายคู่ตีเกลียวแบบมีชิลด์ (Shielded
Twisted-Pair : STP) เป็นสายที่มีปลอกหุ้มอีกรอบเพื่อ
ป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก
จึงทำให้สายเคเบิลชนิดนี้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อในระยะไกลได้มากขึ้น
แต่ราคาแพงกว่าแบบ
UTP
|
รูปที่ 2 สายคู่ตีเกลียวแบบมีชิลด์
|
ข้อดีและข้อเสียของสายคู่ตีเกลียว
ข้อดี 1.
ราคาถูก 2. มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน 3. ติดตั้งง่าย
และมีน้ำหนักเบา ข้อเสีย 1.
ถูกรบกวนจากสัญญาณภายนอกได้ง่าย 2.
ระยะทางจำกัด
|
2.
สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)
สายโคแอกเชียลเป็นสายสัญญาณอีกแบบหนึ่ง
จะประกอบด้วยลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มด้วยฉนวนพลาสติก 1 ชั้น
แล้วจึงหุ้มด้วยทองแดงที่ถักเป็นแผ่น
แล้วหุ้มภายนอกอีกชั้นหนึ่งด้วยฉนวน
สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนอื่นๆ
ใช้ในระบบโทรทัศน์ ความเร็วในการส่งข้อมูล 350 Mbps
ส่งได้ในระยะทาง 2-3 mile
|
รูปที่ 3 สายโคแอกเชียล
|
ข้อดีและข้อเสียของสายโคแอกเชียล
ข้อดี1. ราคาถูก 2.
มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน 3. ติดตั้งง่าย
และมีน้ำหนักเบา ข้อเสีย1.
ถูกรบกวนจากสัญญาณภายนอกได้ง่าย 2.
ระยะทางจำกัด
3.
สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable)
ประกอบด้วยเส้นใยที่ทำมาจากใยแก้ว 2 ชนิด
ชนิดหนึ่งจะอยู่ที่แกนกลาง ส่วนอีกชนิดหนึ่งอยู่ที่ด้านนอก
ซึ่งใยแก้วทั้งสองจะมีดัชนีการสะท้อนแสงต่างกัน
ทำให้แสงซึ่งถูกส่งออกมาจากปลายด้านหนึ่งสามารถส่งผ่านไปอีกด้านหนึ่งได้
ใช้สำหรับส่งข้อมูลที่ต้องการความเร็วสูง
มีข้อมูลที่ต้องการส่งเป็นจำนวนมาก
และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณไฟฟ้ารบกวนมาก
ความเร็วในการส่งข้อมูล 1 Gbps ระยะทางในการส่งข้อมูล 20-30
mile
|
รูปที่ 4 สายใยแก้วนำ
|
ข้อดีข้อเสียของสายใยแก้วนำแสง
ข้อดี 1.
ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง 2.
ไม่มีการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า 3.
ส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก ข้อเสีย 1.
มีราคาแพงกว่าสายส่งข้อมูลแบบสายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล 2.
ต้องใช้ความชำนาญในการติดตั้ง 3.
มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสูงกว่า
สายคู่ตีเกลียวและโคแอกเชียล
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น